IP Address
คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุดIP Addressที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์11101001/ 11000110/ 00000010/ 01110100แต่เมื่อต้องการเรียกIP Address จะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขBinary หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น
11101001 11000110 00000010 01110100
158 . 108 . 2 . 71
เมื่อตัวเลขIP Addressจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้IP Addressเริ่มหายากขึ้นการสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทางInterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
1. Network Address
2. Computer Address
การแบ่งขนาดของเครือข่าย
เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ
Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข
Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข
Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข
nnn หมายถึง Network Address ccc หมายถึง Computer Address
IP Addressแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรร จะได้รับการควบคุมการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่งทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับIP Addressไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำIP Address ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดIP Addressจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้น มิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้
แบ่งออกได้ในรูปของ เลขฐาน 10 จำนวน 4 เป็นหลักครับ คือ xxx.xxx.xxx.xxx โดยแค่ละหลักมีขนาด 8 bit ...
ทำให้แต่ละหลัก มีค่าได้ตั้งแต่ 0-255 (2^8) นั่นเอง
class | network ID / Host ID | subnet mask | network address |
A | 8 / 24 | 255.0.0.0 | 1.0.0.0 - 127.255.255.255 |
B | 16 / 16 | 255.255.0.0 | 128.0.0.0 - 191.255.255.255 |
C | 24 / 8 | 255.255.225.0 | 192.0.0.0 - 223.255.255.255 |
หมายเลข เริ่มต้นของ ip แต่ละช่วงนั้น ไม่ใช่ตัวเลขที่มีใครตั้งเอาเอง แบบไร้ความหมาย หรือ
ไม่ได้เป็นตัวเลข ที่ตั้งเอาตามแต่ใจได้ .. และไม่ได้เป็นอะไรที่ไม่มีที่มา
เราสามารถคิดคำนวน หมายเลข เริ่มต้นของ ip ในclass ต่างๆ ได้จาก การเอา 8 บิทแรก
ของส่วนที่เป็น networkมาคิดคำนวน .. โดยจะยืม bit ข้อมูลของหลักต่างๆ มาใช้เป็นหมายเลข
network นั่นเอง .... แล้วจะได้ออกมาเป็นช่วงๆ ตามตารางนี้ครับ ....
class | รูปแบบ | ค่าจริง | ip เริ่มต้น | ip สุดท้าย | memo |
A | 0xxx | 0000 0000 | 0.0.0.0 | 127.255.255.255 | |
B | 10xx | 1000 0000 | 128.0.0.0 | 191.255.255.255 | ยืมมา1 bit |
C | 110x | 1100 0000 | 192.0.0.0 | 223.255.255.255 | ยืมมา2 bit |
D | 1110 | 1110 0000 | 224.0.0.0 | 239.255.255.255 | ยืมมา3 bit |
E | 1111 | 1111 0000 | 240.0.0.0 | 255.255.255.255 | ยืมมา4 bit |
จุดเริ่มของแต่ละ class ก็หาได้จากการคิดตามรูปแบบนี้เหมือนกันครับ เช่น ใน class B
ถ้าเราเอาค่า 1000 0000 ฐาน2 ในตาราง มาคิดเป็น ฐาน 10 จะได้ 128 จึงทำให้ class B
เริ่มจากหมายเลขนี้นั่นเอง ...
ส่วนเหตุที่ class A ไม่ได้ขึ้นจาก 0.0.0.0 นั้น เพราะไม่นิยมใช้กัน เลยเริ่มจาก 1.0.0.0 และได้นำเอหมายเลข ip 0.0.0.0 นี้ไปเป็น default gateway กันมากกว่า ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น